DSpace Collection:
http://www.repository.rmutt.ac.th/xmlui/handle/123456789/22
2023-09-05T02:16:52Zเมื่อ Big Data เข้ามา Small Data ก็ไม่ควรถูกละเลย
http://www.repository.rmutt.ac.th/xmlui/handle/123456789/3412
Title: เมื่อ Big Data เข้ามา Small Data ก็ไม่ควรถูกละเลย
Authors: พงศ์พิชญ์ ต่วนภูษา
Abstract: บทความนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบระหว่าง Small Data และ Big Data ในยุคที่ข้อมูลขององค์กรถูก disruption ด้วยเทคโนโลยี Big Data อันเกิดจากอิทธิพลของ Disruptive Technologies
การเปลี่ยนแปลงในยุค 4.0 เป็นผลจากอิทธิพลของ Disruptive Technologies ที่เปลี่ยนผันกลไกเศรษฐกิจโลกแบบเดิม อุตสาหกรรมแบบ Mass production หยุดชะงัก ปัจจัยการผลิตหลายอย่างมีขนาดเล็กลง โอกาสที่ธุรกิจที่มีขนาดใหญ่จะต้องหยุดกิจการ เป็นสิ่งที่แทบหลีกเลี่ยงไม่ได้ และหนักยิ่งขึ้นทุกที ขณะเดียวกันก็เป็นโอกาสของธุรกิจขนาดเล็ก จนมีแนวคิดที่ว่า Small is Beautiful-Small is Powerful และ Small is Wonderful เกิดขึ้น ดังเช่น “หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง” และรัฐบาลปัจจุบันได้น้อมนำไว้ในแผนพัฒนาฯ และใน กรอบยุทธศาสตร์ชาติ ระยะ 20 ปี (พ.ศ. 2560-2579)
ในยุค 4.0 ธุรกิจบริการ จะถูก Disruption ด้วย Big Data จึงให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการ Big Data และปัญญาประดิษฐ์ (AI) มากขึ้น Big Data คือ ข้อมูลที่มีขนาดใหญ่มาก ข้อมูลมีความซับซ้อนและต้องการซอฟต์แวร์ที่รองรับการจัดการหรือการวิเคราะห์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อการประมวลผลและนำไปใช้ประโยชน์ได้แบบเรียลไทม์ เช่น Facebook Twitter Netflix Google ฯลฯ นอกเหนือจากแบรนด์เหล่านี้ ข้อมูลที่อยู่รอบชีวิตประจำของลูกค้าหรือผู้บริโภค ก็มีการเก็บไปทำ Big Data เพื่อทราบถึงพฤติกรรมเชิงลึกของลูกค้า ทำให้เข้าใจลูกค้ามากขึ้น สามารถนำไปวางแผนการตลาด ช่องทางการจัดจำหน่าย ที่เข้าถึงและช่วยให้ขยายฐานลูกค้าได้อย่างรวดเร็ว หรือนำข้อมูลไปพัฒนาสินค้าหรือบริการให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น และยังใช้วิเคราะห์แนวโน้มที่จะเกิดขึ้นในอนาคตได้ ส่งผลให้ธุรกิจยุคนี้จะเห็น Big Data เป็นที่พึ่งพา เพื่อทำความเข้าใจกับความต้องการอย่างลึกซึ้งของผู้บริโภค แต่เอาเข้าจริง Big Data ไม่ใช่คำตอบทั้งหมด เพราะผู้ที่จะใช้ประโยชน์จากตัวเลขหรือข้อมูลเหล่านี้ จะต้องเห็นความจริง หรือ “อะไร” ที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังด้วย จากแนวคิดของ Martin Lindstrom พบว่า Big Data เปรียบเป็นขุมทรัพย์อันมีค่ามหาศาลสำหรับธุรกิจ แต่ขุมทรัพย์นั้นจะถูกนำไปต่อยอด เพื่อสร้างประโยชน์ให้กับองค์กรได้หรือไม่ จำเป็นอย่างยิ่งต้องมี Small Data ที่ทำให้ธุรกิจเข้าใจเหตุผลที่มาที่ไปของพฤติกรรมผู้บริโภค ทัศนคติ ความคิด ความเชื่อของผู้บริโภค เพื่อนำมาวิเคราะห์ และตีความร่วมกัน2562-01-01T00:00:00Zการดูดซับสีย้อมผ้าด้วยถ่านกัมมันต์ที่ผลิตจากถ่านหินและกะลามะพร้าว
http://www.repository.rmutt.ac.th/xmlui/handle/123456789/1447
Title: การดูดซับสีย้อมผ้าด้วยถ่านกัมมันต์ที่ผลิตจากถ่านหินและกะลามะพร้าว
Authors: กิติโรจน์ หวันตาเหลา; ชยาภาส ทับทอง; สินศุภา จุ้ยจุลเจิม
Abstract: การศึกษาการดูดซับสีย้อม โดยใช้ถ่านกัมมันต์ที่ผลิตจากถ่านหินที่นำเข้ามาจากประเทศอเมริกา และจากกะละมะพร้าวที่ผลิตได้ในประเทศไทย โดยศึกษาปัจจัยต่างๆ ที่มีผลต่อการดูดซับได้แก่เวลาเข้าสู่สมดุล ปริมาณถ่านกัมมันต์ ปริมาณสีย้อมเริ่มต้น ความเป็นกรด-ด่างของสารละลายสีย้อมเริ่มต้น การปรับสภาพด้วยเกลือแกง ขนาดของถ่านกัมมันต์ เพื่อเปรียบเทียบความสามารถในการดูดซับของถ่านกัมมันต์ทั้งสองชนิด พบว่าถ่านกัมมันต์ที่ผลิตจากถ่านหินมีอัตราเร็วของการดูดซับสูงกว่า และเอเพิ่มปริมาณถ่านกัมมันต์ความสามารถในการดูดซับยิ่งมีค่าสูงขึ้นจนมีค่าคงที่ค่าหนึ่ง แม้เพิ่มความความเข้มข้นของสีย้อมความสามารถในการดูดซับไม่เพิ่มขึ้นตาม นอกจากนี้ยังพบว่าความสามารถในการดูดซับดีที่สารละลายสีมีค่าเป็นกรดอ่อนขนาดของถ่านกัมมันต์ทั้งสองชนิดที่อยู่ในช่วง 125-150 ไมโครเมตร เหมาะสมกับการดูดซับสีย้อมแบบจำลองของการดูดซับโดยทฤษฏีของและกะลามะพร้าวได้เท่ากับ 222.22 และ 158.73 มิลลิกรัม/กรัม ตามลำดับ เมื่อใช้เกลือแกงในการปรับสภาพถ่านกัมมันต์ที่ผลิตจากกะลามะพร้าวจะทำให้ความสามารถในการดูดซับสีย้อมเพิ่มขึ้นจนใกล้เคียงกับความสามารถในการดูดซับของถ่านกัมมันต์ที่ผลิตจกาถ่านหินในสภาวะที่ดูดซับที่เหมาะสม ดังนั้นสามารถที่ใช้ถ่านกัมมันต์ที่ผลิตจากกะลามะพร้าว ในกรดูดซับสีย้อมทดแทนถ่านกัมมันต์จากถ่านหินได้ ถึงแม้ว่าอัตราการดูดซับจะช้ากว่าเล็กน้อย; This work studied the adsorption capability of direct-dye on activated carbons which were prepared from coal produced in USA and from coconut shell produced in Thailand. The extent of adsorption was studies as a function of equilibrium time, amount of activated carbon, initial concentration of direct-dye, pH value of solution, activating agent and adsorbent size. These factors were varied to understand the adsorption capability between activated carbons from the two sources. It was found that activated carbon from coal had higher adsorption rate than activated carbon from coconut shell. The ability of adsorption was varied by an increasing amount of activated carbon. Likewise, it was also varied by the concentration of direct dye. However, the ability of adsorption was constant at the certain concentration of direct dye. The study showed that high ability of adsorption could be reached at mild acid conditions. Both activated carbons had shown similar results in optimum adsorbent size which was recommended between 125 -150 micrometers to deliver the optimized adsorption capability. The adsorption process conformed to the Langmuir Isotherm. The maximum adsorption" by the calculation, was 222.22 and 158.73 mg g-l of activated carbon from coal and coconut shell respectively. However, from the experiment, when activated agent, NaCl, was used to simulate activated carbon from coconut shell, the maximum adsorption from both sources was comparable under appropriate conditions. Therefore, activated carbon from coal could be substituted by activated carbon from coconut shell. Even though adsorption rate of activated carbon from coconut shell was slightly lower than activated carbon from coal.2550-01-01T00:00:00Zการประยุกต์สารสนเทศทางภูมิศาสตร์เพื่อทำแผนที่ฟลูออไรด์จัดหวัดตาก
http://www.repository.rmutt.ac.th/xmlui/handle/123456789/1446
Title: การประยุกต์สารสนเทศทางภูมิศาสตร์เพื่อทำแผนที่ฟลูออไรด์จัดหวัดตาก
Authors: นฤมล กูลศิริศรีตระกูล
Abstract: การวิจัยมีจุดมุ่งหมายเพื่อทำแผนที่ฟลูออไรด์จังหวัดตาก โดยใช้ข้อมูลปริมาณฟลูออไรด์ในน้ำบริโภคซึ่งเป็นข้อมูลเชิงพื้นที่ มาสร้างฐานข้อมูลระบบสารสนเทศ กำหนดพื้นที่เสี่ยงต่อการได้รับฟลูออไรด์ปริมาณสูงในจังหวัดตาก ในภาพรวมและรายอำเภอ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ ได้แก่ โปรแกรม วิเคราะห์ข้อมูลเชิงพื้นที่ Arc View GIS Version 3.2 โปรแกรมจัดการฐานข้อมูล Microsoft Excel 97 โปรแกรมวิเคราะห์ด้านสถิติ SPSS Version 11.0 และ เครื่องมือตรวจวัดค่าปริมาณฟลูออไรด์ในน้ำ ตามวิธี SPANS ในการศึกษานี้ ได้แบ่ง ระดับความเสี่ยงต่อการได้รับฟลูออไรด์ เป็น 5 ระดับ ตามเกณฑ์ประเมินปริมาณฟลูออไรด์ในน้ำบริโภคของศูนย์ทันตสาธารณสุขระหว่างประเทศ พบว่า เมื่อเปรียบเทียบค่าเฉลี่ย และเกณฑ์มากกว่า 0.60 ppm. หรือ ความเสี่ยงระดับ 4 ขึ้นไป ที่มักทำให้เกิดภาวะฟันตกกระได้ทั้งในระดับน่าสงสัย ระดับน้อย และระดับรุนแรงแล้ว ค่าเฉลี่ยปริมาณฟลูออไรด์ในน้ำบริโภค ทั้งจังหวัดมีค่าน้อยกว่า 0.60 ppm. พิจารณารายอำเภอพบว่า อำเภอสามเงา และอำเภอบ้านตาก มีค่าเฉลี่ยปริมาณฟลูออไรด์ในน้ำบริโภคมากกว่า 0.60 ppm. พิจารณาจากค่าเฉลี่ยปริมาณฟลูออไรด์ในน้ำบริโภคตามแหล่งน้ำ พบว่า น้ำบ่อและน้ำบาดาลมีค่าเฉลี่ยฟลูออไรด์มากกว่า 0.6 ppm. เมื่อกำหนดตำแหน่งพื้นที่มีปริมาณฟลูออไรด์ในน้ำบริโภคระดับ 4 (0.61 -1.20 ppm.) และ ระดับ 5 (1.20 ppm.) พบว่า อำเภอเมื่อตาก มีตำแหน่งที่มีปริมาณฟลูออไรด์ในน้ำบริโภค ระดับ 4 และระดับ 5 จำนวน 2 และ 4ตำแหน่ง อำเภอสามเงามีตำแหน่งที่มีปริมาณฟลูออไรด์ในน้ำบริโภค ระดับ 4 และระดับ 5 จำนวน 2 ตำแหน่งเท่ากันส่วนอำเภอบ้านตาก มีตำแหน่งที่มีปริมาณฟลูออไรด์ในน้ำบริโภค ระดับ 4 และระดับ 5 จำนวน 2และ 1 ตำแหน่ง ส่วนอำเภออื่นๆนั้นไม่มีตำแหน่งที่มีปริมาณฟลูออไรด์ในน้ำบริโภค ทั้งระดับ 4 และ 5 สำหรับในภาพรวมจังหวัดตาก มีตำแหน่งที่มีปริมาณฟลูออไรด์ในน้ำบริโภค ระดับ 4 และระดับ 5 จำนวน 6 และ 7 ตำแหน่ง ตามลำดับ; This study aims to apply Geographic Information System for Fluoride mapping In Tak Province. In the study Natural fluoride concentration in water sources were spatially analyzed to depict spatial distribution. The main tools used in analysis were Arcview GIS version 3.2a, Microsoft Excel 97, SPSS version 11.0 and the SPANOS. A total of 374 spatial water samples were analyzed and classified in term of Fluoride concentration into 5 groups based on Inter-country Centre for Oral Health (ICOH) Chiang Mai, Thailand: fluoride free (~0.1); low fluoride (>0.1-0.3); optimal (>0.30.6); higher optimal (>0.6-0.7); and excess (>0.7) mg/I. The study area was also classified into 5 groups for Fluoride intake risk levels: 1, 2, 3, 4, and 5. The results showed that water Fluoride concentration in Amphor Samngao and Amphor Bantak was over the optimal level, which caused Mottled enamel or Dental Fluorisis, (fluoride concentration > 0.6 mg/I). Well and underground water had fluoride concentration over than 0.6 mg/I. The excess and higher optimal in fluoride intake (level 5 and level 4) were found at Amphor Muangtak 4 and 2 locations, respectively, 2 and 2 locations in Amphor Samngao, and 2 and 2 locations in Amphor Bantak while nothing was found in others.2550-01-01T00:00:00Zการผลิตเอนไซม์เปอร์ออกซิเดสจากผักบุ้งทะเล เพื่อใช้ในการบำบัดนำเสียที่มีสารประกอบฟีนอล
http://www.repository.rmutt.ac.th/xmlui/handle/123456789/1445
Title: การผลิตเอนไซม์เปอร์ออกซิเดสจากผักบุ้งทะเล เพื่อใช้ในการบำบัดนำเสียที่มีสารประกอบฟีนอล
Authors: น้อมจิตต์ แก้วไทย
Abstract: การผลิต เอนไซม์เปอร์ออกซิเดสจากผักบุ้งทะเลเพื่อใช้ในการบำบัดน้ำเสียที่มีฟีนอล พบว่าเอนไซม์หยาบที่สกัดโดยใช้ปราศจากอิออนมีกิจกรรม 25.27 ยูนิต/มิลลิเมตร มีปริมาณโปรตีนเท่ากับ 325.05 มิลลิกรัม/มิลลิลิตร และมีกิจกรรมจำเพาะเท่ากับ 0.078 ยูนิตต่อมิลลิกรัม เมื่อตกตะกอน ด้วยแอมโมเนียมซัลเฟตที่ความเข้มข้นอิ่มตัวร้อยละ 60 และบริสุทธิ์ต่อด้วยเจลฟิลเตรชันโครมาโครมาโตกราฟี เอนไซม์มีความบริสุทธิ์เพิ่มขึ้น 1.58 และ 10.53 เท่า ตามลำดับสามารถเก็บเกี่ยวเอนไซม์ได้ร้อยละ 69.18 และ 24.93 ตามลำดับ การทำบริสุทธิ์โดยวิธีเอเควีนส ทู-เฟส โดยใช้ระบบที่มีองค์ประกอบของโพลีเอทธิลีนไกลคอล/แอมโมเนียมซัลเฟต/โซเดียมคลอไรด์ร้อยละ 27/6.0/1 น้ำหนัก/ปริมาตร มีสัมประสิทธิ์การแยกส่วนเท่ากับ 0.15 เอนไซม์มีความบริสุทธิ์เพิ่มขึ้น 2 เท่า และเก็บเกี่ยวเอนไซม์เปอร์ออกซิเดสในส่วนล่างได้ 50.54 ยูนิต/มิลลิลิตร คิดเป็นร้อยละ 86.52 เมื่อผ่านเจลฟิลเตรชัน โครมาโตกราฟีเอนไซม์มีความบริสุทธิภาพในการบำบัดฟีนอลในน้ำเสีย พบว่า เอนไซม์ที่ผ่านการทำบริสุทธิ์มาศึกษาประสิทธิ์เพิ่มขึ้น 23 เท่า เก็บเกี่ยวเอนไซม์ได้ร้อยละ 72.51 นำเอนไซม์หยาบมีประสิทธิภาพในการบำบัดฟีนอลในน้ำเสียจำลองที่มีความเข้มข้นของฟินอล 1,000 ไมโครกรัมต่อลิตร มากที่สุด โดยสภาวะที่เหมาะสมต่อการใช้เอนไซม?เปอร์ออกซิเดสจากผักบุ้งทะเลในการบำบัดน้ำเสียจากโรงงานที่มีปริมาณฟีนอล 391 ไม่โครกรัมต่อลิตร คือ การทำปฏิกิริยาโดยใช้เอนไซม์ 0.33 ยูนิตต่อมิลลิลิตร อัตราส่วนระหว่างไฮโดรเจอนเปอร์ออกไซด์ต่อสับสเตรต 0.8 พีเอช 7 อุณหภูมิ 50 องศาเซลเซียสเป็นเวลา 4 ชั่วโมง โดยมีประสิทธิภาพการบำบัดฟีนอลร้อยละ 82.34; การผลิต เอนไซม์เปอร์ออกซิเดสจากผักบุ้งทะเลเพื่อใช้ในการบำบัดน้ำเสียที่มีฟีนอล พบว่าเอนไซม์หยาบที่สกัดโดยใช้ปราศจากอิออนมีกิจกรรม 25.27 ยูนิต/มิลลิเมตร มีปริมาณโปรตีนเท่ากับ 325.05 มิลลิกรัม/มิลลิลิตร และมีกิจกรรมจำเพาะเท่ากับ 0.078 ยูนิตต่อมิลลิกรัม เมื่อตกตะกอน ด้วยแอมโมเนียมซัลเฟตที่ความเข้มข้นอิ่มตัวร้อยละ 60 และบริสุทธิ์ต่อด้วยเจลฟิลเตรชันโครมาโครมาโตกราฟี เอนไซม์มีความบริสุทธิ์เพิ่มขึ้น 1.58 และ 10.53 เท่า ตามลำดับสามารถเก็บเกี่ยวเอนไซม์ได้ร้อยละ 69.18 และ 24.93 ตามลำดับ การทำบริสุทธิ์โดยวิธีเอเควีนส ทู-เฟส โดยใช้ระบบที่มีองค์ประกอบของโพลีเอทธิลีนไกลคอล/แอมโมเนียมซัลเฟต/โซเดียมคลอไรด์ร้อยละ 27/6.0/1 น้ำหนัก/ปริมาตร มีสัมประสิทธิ์การแยกส่วนเท่ากับ 0.15 เอนไซม์มีความบริสุทธิ์เพิ่มขึ้น 2 เท่า และเก็บเกี่ยวเอนไซม์เปอร์ออกซิเดสในส่วนล่างได้ 50.54 ยูนิต/มิลลิลิตร คิดเป็นร้อยละ 86.52 เมื่อผ่านเจลฟิลเตรชัน โครมาโตกราฟีเอนไซม์มีความบริสุทธิภาพในการบำบัดฟีนอลในน้ำเสีย พบว่า เอนไซม์ที่ผ่านการทำบริสุทธิ์มาศึกษาประสิทธิ์เพิ่มขึ้น 23 เท่า เก็บเกี่ยวเอนไซม์ได้ร้อยละ 72.51 นำเอนไซม์หยาบมีประสิทธิภาพในการบำบัดฟีนอลในน้ำเสียจำลองที่มีความเข้มข้นของฟินอล 1,000 ไมโครกรัมต่อลิตร มากที่สุด โดยสภาวะที่เหมาะสมต่อการใช้เอนไซม?เปอร์ออกซิเดสจากผักบุ้งทะเลในการบำบัดน้ำเสียจากโรงงานที่มีปริมาณฟีนอล 391 ไม่โครกรัมต่อลิตร คือ การทำปฏิกิริยาโดยใช้เอนไซม์ 0.33 ยูนิตต่อมิลลิลิตร อัตราส่วนระหว่างไฮโดรเจอนเปอร์ออกไซด์ต่อสับสเตรต 0.8 พีเอช 7 อุณหภูมิ 50 องศาเซลเซียสเป็นเวลา 4 ชั่วโมง โดยมีประสิทธิภาพการบำบัดฟีนอลร้อยละ 82.342550-01-01T00:00:00Z