Please use this identifier to cite or link to this item:
http://www.repository.rmutt.ac.th/xmlui/handle/123456789/3183
Title: | การประยุกต์ใช้ระบบต้นทุนฐานกิจกรรมเพื่อประสิทธิผลในการวิเคราะห์ต้นทุน ต่อหน่วยผลผลิต กรณีศึกษา มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี |
Other Titles: | An Application of Activity-Based Costing for Effectiveness Unit Cost Analysis A Case Study of Rajamangala University of Technology Thanyaburi |
Authors: | นนตา เศวตเมธิกุล |
Keywords: | ต้นทุนฐานกิจกรรม ตัวผลักดันต้นทุน Activity-Based Costing Cost Driver |
Issue Date: | 2560 |
Publisher: | มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี. กองคลัง. |
Abstract: | โครงการวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) กำหนดเกณฑ์มาตรฐานในการปันส่วนจากต้นทุนกิจกรรมไปยังต้นทุนผลผลิต 2) สร้างโมเดลการปันส่วนจากต้นทุนกิจกรรมไปยังต้นทุนผลผลิต และ 3) ศึกษาประสิทธิผลของต้นทุนต่อหน่วยผลผลิต (กลุ่มสาขาวิชา) ระหว่างระบบต้นทุนแบบเดิมและระบบต้นทุนฐานกิจกรรม
ประชากรที่ใช้ในการศึกษา คือ หน่วยงานตามโครงสร้างการบริหารงานของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี รวมทั้งสิ้น 32 หน่วยงาน ประกอบด้วย ระดับคณะ 12 คณะ (จัดแบ่งเป็น 9 กลุ่มสาขาวิชา) การศึกษาขั้นพื้นฐาน 2 โรงเรียน และ หน่วยงานสนับสนุนระดับมหาวิทยาลัย จำนวน 18หน่วยงาน ผู้ให้ข้อมูลหลัก คือ ผู้บริหาร อาจารย์ และ เจ้าหน้าที่ของหน่วยงานระดับคณะ โรงเรียน และหน่วยงานสนับสนุนระดับมหาวิทยาลัย จำนวนทั้งสิ้น 98 ราย โดยประชุมร่วมกันเพื่อพิจารณาโครงสร้างการบริหารงาน ภาระหน้าที่ความรับผิดชอบ เพื่อร่วมกาหนดกิจกรรม ตัวผลักดันต้นทุน เพื่อให้ได้มาซึ่งเกณฑ์มาตรฐานในการปันส่วนต้นทุน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ใช้แบบบันทึกกิจกรรม และแบบบันทึกค่าใช้จ่ายของทุกหน่วยงาน คำนวณโดยใช้โปรแกรม MS Excel สถิติที่ใช้ ได้แก่ ค่าร้อยละ
ผลการวิจัยพบว่า 1) เกณฑ์มาตรฐานในการปันส่วน มีกิจกรรม 30 กิจกรรม ตัวผลักดันต้นทุน 21 รายการ ผลผลิต 5 ผลผลิต 2) โมเดลการปันส่วนจากต้นทุนกิจกรรมไปยังต้นทุนผลผลิต ตามระบบต้นทุนฐานกิจกรรม ใช้วิธีการปันส่วนซึ่งกันและกัน ด้วยเทคนิคการกระจายต้นทุนพร้อมกันตามสมการและสร้างเมทริกซ์การกระจายต้นทุนด้วยวิธีสมการเชิงเส้น โดยใช้โปรแกรม MS Excel ฟังก์ชัน MMULTและ MINVERSE เป็นเครื่องมือช่วยในการคำนวณ 3) ประสิทธิผลของต้นทุนต่อหน่วยผลผลิต(กลุ่มสาขาวิชา) ระหว่างระบบต้นทุนแบบเดิมและระบบต้นทุนฐานกิจกรรม พบว่า ระบบต้นทุนแบบเดิมทำให้ต้นทุนต่อหน่วยผลผลิตสูง/ต่ำกว่า ความเป็นจริง เนื่องจากการปันส่วนใช้เกณฑ์เดียวกัน (FTES) ในขณะที่ระบบต้นทุนฐานกิจกรรม ใช้เกณฑ์การปันส่วนที่มีความสอดคล้องกับกิจกรรมการให้บริการทำให้ได้ต้นทุนที่แท้จริง ดังนี้ กลุ่มสาขาวิชาที่มีต้นทุนต่อหน่วยลดลง จานวน 4 กลุ่มสาขาวิชา ได้แก่ กลุ่มสาขาวิชาบริหารลดลง 6,419 บาทต่อคน/ปี กลุ่มสาขาวิชาเกษตรศาสตร์ ลดลง 2,612 บาทต่อคน/ปี กลุ่มสาขาวิชาครุศาสตร์ลดลง 2,129 บาทต่อคน/ปี และกลุ่มสาขาวิชาวิศวกรรมศาสตร์ลดลง 837 บาทต่อคน/ปี กลุ่มสาขาวิชาที่มีต้นทุนต่อหน่วยเพิ่มขึ้น 5 กลุ่มสาขาวิชา ได้แก่ กลุ่มสาขาวิชาสถาปัตยกรรมศาสตร์เพิ่มขึ้น 37,458 บาทต่อคน/ปี วิทยาศาสตร์สุขภาพเพิ่มขึ้น 28,260 บาทต่อคน/ปี วิทยาศาสตร์กายภาพเพิ่มขึ้น 6,436 บาทต่อคน/ปี ศิลปกรรมศาสตร์เพิ่มขึ้น 4,876 บาทต่อคน/ปี และมนุษย์ศาสตร์เพิ่มขึ้น 2,437 บาทต่อคน/ปี The objectives of this research were to: 1) determine standard criteria for allocating activity costs to product costs, 2) create a cost allocation model to allocate activity costs to product costs, and 3) study the effectiveness of unit costs for each subject group by comparing the traditional costing system and the activity-based costing system. The population used in this study includes 3 2 units in the RMUTT organizational structure, consisting of 1 2 faculties ( divided into 9 subject groups) , 2 basic education schools, and 18 university support departments. Key informants include 98 people drawn from administrators, lecturers, and support staff from faculties, schools, and university support departments. Those informants were invited to attend the meetings to consider the management structure, their duties and responsibilities, and participate in determining activity costs and cost drivers, in order to obtain standard criteria for cost allocation. The research tools used are activity records and expense records of all departments. Then calculate using MS Excel. Statistical analysis includes percentage. The research results showed that: 1) standard criteria for allocating costs included 30 activities, 21 cost drivers, and 5 outputs, 2) cost allocation model to allocate activity costs to product costs according to activity- based costing employed the reciprocal allocation method along with the simultaneous cost distribution technique and create a cost distribution matrix using the linear equation method with MS Excel, MMULT and MINVERSE functions as tools for calculations, and 3) the effectiveness of unit costs for each subject group by comparing the traditional costing system and the activity- based costing system revealed that traditional costing system result in higher or lower unit costs than activity-based costing systems. This is because only one allocation criterion is used, which is FTES whereas the activity-based costing system use allocation criteria consistent with service activities. As a result, costs are more consistent with actual costs as follows. There are 4 subject groups that show lower unit costs: business administration decreased by 6,419 baht per person/ year, followed by agriculture ( 2,612) , education ( 2,129) , and engineering (837), respectively. However, there are 5 subject groups that show higher unit costs: architecture increased by 37,458 baht per person/year, followed by health science (28,260), physical science (6,436), fine arts (4,876), and humanities (2,437), respectively. |
Description: | การประยุกต์ใช้ระบบต้นทุนฐานกิจกรรมเพื่อประสิทธิผลในการวิเคราะห์ต้นทุน ต่อหน่วยผลผลิต กรณีศึกษา มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี |
URI: | http://www.repository.rmutt.ac.th/dspace/handle/123456789/3183 |
Appears in Collections: | วิจัย (Research - FD) |
Files in This Item:
File | Description | Size | Format | |
---|---|---|---|---|
20240307-R2R-Nontar S..pdf | An Application of Activity-Based Costing for Effectiveness Unit Cost Analysis A Case Study of Rajamangala University of Technology Thanyaburi | 2.87 MB | Adobe PDF | View/Open |
Items in DSpace are protected by copyright, with all rights reserved, unless otherwise indicated.