แนวทางการพัฒนางานวิชาการและงานทะเบียนวัดผลของวิทยาลัยการแพทย์ แผนไทย มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี

Abstract

การศึกษาวิจัยในครั้งมีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาปัญหาการดำเนินงานด้านวิชาการและงานทะเบียนวัดผลของวิทยาลัยการแพทย์แผนไทย มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี และ 2) เสนอแนวทางการพัฒนางานวิชาการและงานทะเบียนวัดผลของวิทยาลัยการแพทย์แผนไทย มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี โดยการวิจัยครั้งนี้เป็นแบบผสมผสาน (Mixed Method Research) ระหว่างการวิจัยเชิงปริมาณ (Quantitative Research) โดยใช้แบบสอบถาม (Questionnaire) และการวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) โดยใช้การสัมภาษณ์เชิงลึก (In-depth Interview) มีการสุ่มตัวอย่างจำนวน 200 คน จำแนกเป็นอาจารย์ จำนวน 15 คน เจ้าหน้าที่ จำนวน 10 คน และนักศึกษาทุกหลักสูตรในปีการศึกษา 2563 จำนวน 175 คน โดยใช้เป็นแบบสอบถามความพึงพอใจด้วยแบบมาตรวัดประเมินค่า (Rating Scale) โดยมีค่าความเชื่อมั่น 0.98 และ การวิจัยเชิงคุณภาพ ศึกษาแนวทางการพัฒนา โดยมีตัวอย่างแบบเจาะจง (Purposive Sampling) กลุ่มละ 5 คน รวมเป็น 15 คน ในการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณจะใช้สถิติเชิงพรรณนา ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพจากแบบสัมภาษณ์ ใช้การวิเคราะห์เนื้อหา (Content Analysis)

ผลการวิจัยพบว่า ปัญหาการดำเนินงานด้านวิชาการและงานทะเบียนวัดผลที่ผู้รับบริการมี ความพึงพอใจต่อการให้บริการน้อยที่สุด มี 2 ด้าน คือ 1) ด้านกระบวนการและขั้นตอนการให้บริการ (X̅= 3.83) และ 2) ด้านสิ่งอำนวยความสะดวก (X̅ = 3.83) และจากการสัมภาษณ์กลุ่มตัวอย่างทั้ง 3 กลุ่ม ประเด็นปัญหาการดำเนินงาน ดังนี้ เอกสารแต่ละอย่างมีหลายขั้นตอนเกินจำเป็น ไม่สามารถตรวจสอบได้ว่าเอกสารอยู่ในขั้นตอนไหน ระบบเอกสารยังเป็นแบบออฟไลน์ ไม่มีจุดให้นักศึกษาเขียนคำร้อง หรืออุปกรณ์สืบค้นข้อมูลรองรับผู้มาใช้บริการ การติดต่อบางเรื่องไม่มีพื้นที่ส่วนตัว ไม่มีป้ายแสดงจุดติดต่อชัดเจน ทำให้สับสนว่าจะต้องไปที่ไหนหรือพบเจ้าหน้าที่คนใด และหากเจ้าหน้าที่ไม่อยู่ ไม่มีผู้รับเรื่องแทน ทำให้บริการหยุดชะงัก และแนวทางการพัฒนางานวิชาการและงานทะเบียนวัดผล ประกอบด้วย 1) การพัฒนาระบบการให้บริการแบบออนไลน์ที่สามารถติดตามสถานะคำร้องได้ 2) การจัดทำ Flow Chart ขั้นตอนการติดต่อที่ชัดเจน 3) การจัดสรรพื้นที่ให้บริการให้เหมาะสมและมองเห็นได้ชัดเจน 4) การเพิ่มเจ้าหน้าที่และสิ่งอำนวย ความสะดวกสำหรับผู้รับบริการ และ 5) การเพิ่มช่องทางการประชาสัมพันธ์แผนปฏิบัติงานที่หลากหลาย ข้อเสนอแนะสำคัญคือ ควรมีการบูรณาการระบบการให้บริการระหว่างงานวิชาการและงานทะเบียนวัดผล เพื่อลดความซ้ำซ้อนและอำนวยความสะดวกแก่ผู้รับบริการทุกกลุ่ม โดยข้อเสนอแนะเหล่านี้ จะนำไปสู่การวางแผนพัฒนางานวิชาการและงานทะเบียนวัดผลตามบริบทของหน่วยงาน และความเป็นมาตรฐาน มีประสิทธิภาพ และเหมาะสมต่อองค์กรต่อไป

This study aimed to (1) investigate operational issues in the delivery of academic and registration services at the College of Thai Traditional Medicine, Rajamangala University of Technology Thanyaburi, and (2) propose strategies for service development. A mixed-methods research design was employed. Quantitative data were collected through a questionnaire, which demonstrated a high reliability coefficient (Cronbach’s alpha = 0.98), while qualitative data were obtained via in-depth interviews. A total of 200 participants were included: 15 instructors, 10 administrative staff, and 175 students enrolled in all programs during the 2020 academic year. Participants were randomly selected to complete the questionnaire, and 15 individuals were purposively selected for in-depth interviews. Quantitative data were analysed using descriptive statistics, while qualitative data were analysed using content analysis. The findings revealed that the service processes and procedures (mean score = 3.83) and the availability of facilities (mean score = 3.83) were the aspects with the lowest level of user satisfaction. Interviews with participants from all groups identified key operational challenges, including the excessive number of procedural steps required for documentation, the lack of a tracking system for monitoring document status, and reliance on a predominantly offline system. Additional issues included the lack of designated areas for submitting requests or accessing information, insufficient privacy at service points, unclear signage leading to confusion about service points, and the absence of backup personnel when staff were unavailable resulting in service disruptions. Based on these findings, five key recommendations for service improvement were proposed: (1) develop an online service system that allows users to track the status of their requests; (2) implement a clear and accessible flowchart outlining service contact procedures; (3) allocate dedicated service areas that are functional and easily identifiable; (4) increase staffing and enhance supporting facilities; and (5) expand communication channels to disseminate operational information more effectively. A major recommendation is the integration of academic and registration service systems to minimise redundancy and improve user convenience. These strategic recommendations aim to inform the planning and development of academic and registration services that are aligned with the institutional context and designed to ensure standardisation, operational efficiency, and responsiveness to future needs.